วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ชาติที่แล้วเราเป็นใครกันหนอ ? (1)



พระพุทธองค์เคยตรัสกล่าวกับพระอานนท์เรื่องของ
“ลักษณะอาการที่ปรากฏหรือแสดงออกมาตามการกระทำของคนเราในชาติปัจจุบัน” เรื่องนี้มีอยู่ว่า

ในสมัยพุทธกาลนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอยู่ ณ วัดพระเชตวันมหาวิหาร ได้มีอุบาสก 5 คน
เป็นสหายกันเดินทางมานั่งฟังธรรมของพระพุทธองค์ แต่ทว่ากิริยาอาการต่าง ๆ ของแต่ละคนนั้นมีอาการแตกต่างกันไป

โดยที่คนหนึ่งนั้นนั่งหลับ อีกคนก็เอานิ้วนั่งเขียนพื้นดินเล่น คนหนึ่งก็นั่งเขย่าต้นไม้
คนหนึ่งก็นั่งแหงนดูดาวดูท้องฟ้าไม่สนใจอะไรเลย
มีเพียงอุบาสกคนเดียวที่ยังนั่งฟังธรรมะที่พระองค์บรรยายด้วยอาการสงบ

การที่แต่ละคนแสดงออกถึงอาการเหล่านี้จึงเป็นประเด็นให้พระอานนท์เกิดความสงสัยเป็นอย่างมาก
จึงกราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ทำไมเหล่าอุบาสกทั้งหลายคงได้แสดงกิริยาที่แตกต่างกันเช่นนั้น

พระพุทธองค์จึงตรัสเล่าอดีตชาติของแต่ละบุคคลเอาไว้ว่า

อุบาสกคนที่นั่งแหงนดูท้องฟ้านั้นเมื่ออดีตเคยเกิดเป็น “พราหมณ์” ที่ทำหน้าที่คอยบอกฤกษ์ยามต่าง ๆด้วยการนั่งดูดาวมาหลายร้อยปี ถึงชาติปัจจุบันนี้ก็ยังคงนั่งมองท้องฟ้าดูดาวอยู่เช่นนั้นจึงไม่ได้ยินได้ฟังธรรมะของพระองค์

ส่วนอุบาสกคนที่นั่งเขย่ากิ่งไม้ ต้นไม้อยู่นั้นเคยเกิดเป็น “วานร” มาแล้วหลายร้อยชาติ
เมื่อภพชาติปัจจุบันได้เกิดมาเป็นคนก็ยังนั่งเขย่าต้นไม้อยู่อย่างนั้น ไม่ได้ยินเสียงธรรมของพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกัน

อุบาสกคนที่เอานิ้วเขี่ยพื้นดินเล่นนั้น ในอดีตชาติก็เคยเกิดเป็น “ไส้เดือน” มาแล้วหลายร้อยชาติ
เพราะมัวเอานิ้วนั่งเขียนบนพื้นดินเล่นอย่างนั้นไม่สนใจอย่างอื่นไม่ได้ยินพระธรรมที่พระพุทธองค์สอน
เป็นเพราะจิตและการกระทำเดิมของตนที่เคยตัวและเคยกระทำมา

ส่วนอุบาสกคนที่นั่งหลับนั้น ก็เคยเกิดเป็น “งู” มาแล้วหลายร้อยชาติ เขาเคยหลับมาแล้วหลายร้อยชาติในสมัยที่เป็นงูแม้ในชาติปัจจุบันก็ยังนอนไม่อิ่มเสียที แม้แต่พระธรรมยังไม่เข้าหูก็ยังคงหลับอยู่เช่นนั้น
ชาตินี้ก็เลยมีนิสัยหลับมากเหมือนงูเช่นเดิม

ส่วนอุบาสกคนสุดท้ายที่นั่งฟังธรรมด้วยจิตใจสงบ มีความเคารพและศรัทธาในคำสอนของพระองค์นั้น
ชายผู้นี้เคยเกิดมาเป็นพราหมณ์ผู้รอบรู้และศึกษาธรรมะ ปรัชญารวมทั้งพยายามค้นคว้าหาความจริงมาแล้วหลายร้อยชาติจนมาบัดนี้ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว จึงมีความยินดีที่จะตั้งใจฟังด้วยดีจนได้ดวงตาเห็นธรรมและบรรลุเป็นพระโสดาบัน

การแสดงธรรมกถาบทนี้ของพระพุทธองค์ ทำให้เราสามารถนำมาพิจารณาคิดต่อได้ว่า
อดีตชาติและการเวียนว่ายตายเกิดนั้นจะยังคงมีอยู่และมีอยู่จริงตามความเป็นไปของลักษณะจิตเดิม
ที่เราเคยกระทำกรรมใด ๆ มา เราก็ย่อมเป็นไปตามผลกรรมนั้น ๆ

จากข้อสังเกตนี้ เราทุกคนสามารถศึกษาพฤติกรรมมนุษย์และเปรียบเทียบอดีตชาติของคนเราได้มากมายเป็นเบื้องต้น ซึ่งแบ่งออกไปตามหลายลักษณะ ที่จะอธิบายให้ฟังและลองพิจารณากันดูว่า ตัวเรานั้นมีอาการแบนี้ ลักษณะ นิสัยแบบนั้นหรือไม่

1. แบ่งไปตามลักษณะนิสัยความประพฤติ ลักษณะนิสัยของคนเรานั้นสามารถนำมาตั้งสมมติฐานเรื่องของอดีตชาติได้
ซึ่งมักจะเป็นข้อเปรียบเทียบบุคคลถึงลักษณะนิสัยที่แตกต่างกัน แล้วนำมาเปรียบเปรยเป็นลักษณะนิสัยของสัตว์

เพื่อใช้สอนหรือตักเตือนตนว่า อย่าได้ทำนิสัยเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานอีก

เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นผู้มีบุญแล้วในระดับหนึ่ง ก็ควรจะมีลักษณะนิสัยอย่างมนุษย์
ซึ่งในครูบาอาจารย์และบรรพบุรุษตั้งแต่ครั้งโบราณ ท่านทราบเรื่องเหล่านี้ดี
ท่านจึงมักจะนำข้อเปรียบเทียบนี้มาใช้สอนลูกหลานให้เป็นคนที่มีความประพฤติดีสมบูรณ์
ให้สร้างกรรมใหม่หนีกรรมเก่าเสีย และรู้แล้วก็อย่าไปทำอีก จะขอพูดในส่วนที่เกี่ยวกับสัตว์ก่อน

- อย่างคนที่ขี้เกียจมาก ๆ เอาแต่กินแล้วนอน เป็นพวกสันหลังยาว ก็สามารถใช้พิจารณาด้วยปัญญาเกี่ยวกับเรื่องของจิตเดิมได้ว่า
คนๆ นี้อาจเคยเป็น “งู” ที่มีชีวิตอยู่เพื่อกินแล้วนอนหลายชาติมาแล้ว ความทรงเดิมจึงยังไม่หมดสิ้นไป
มาในชาตินี้ก็ยังมีนิสัยของงูอย่างนั้นอีก ใครเป็นเอามากก็แสดงว่าชาติใกล้ๆ นี่แหละที่ยังเป็นงูอยู่

-คนที่แสดงกิริยาอาการในการรับประทานอาหารอย่างมูมมามและกินจุ กินเท่าไรก็ไม่อิ่ม ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นโรคอะไร
ก็น่าจะมาจากชาติหนึ่งชาติใดเคยเกิดเป็นหมู จึงยังมีนิสัยเดิมไม่ต่างไปจากหมู ยิ่งเป็นคนที่ไม่สนใจตัวเองปล่อยปละละเลยไม่ทะความสะอาดตัวเอง ชอบนอนแบบไม่อาบน้ำอาบท่า ทำอะไรก็ชอบเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า ใช่เลยต้องเคยเกิดเป็นหมูมาก่อนแน่นอน

- คนที่ซุกซนอยู่เฉย ๆไม่ได้ ชอบเดินไปเดินมา ขยุกขยิกตลอดเวลา เวลานั่งก็เขย่าเท้าหรือเขย่ามือ เหมือนคนซุกซน ก็เชื่อว่าในอดีตชาติต้องเคยเกิดเป็น “ลิง” หรือในตรกูลของพวกลิง ค่าง ทั้งหลาย

-คนที่ชอบทะเลาะวิวาทต่อยกันตีกันเห็นหน้าใครแล้วก็ต้องมีอารมณ์โมโหต้องจิกต้องตีกันอยู่ร่ำไปก็มีจิตเดิมมาจาก “ไก่ชน”หรือสัตว์ตัวใหญ่ๆ ที่ชอบต่อสู้กันไม่ว่าด้วยมาจากจะแย่งตัวเมีย หรือข่มเหงสัตว์ที่ตัวเล็กกว่า หรือคนไปจับเอามาสู้กัน

-คนที่มีนิสัยเจ้าชู้ มักมากในกาม วันๆ ครุ่นคิดแต่เรื่องเพศ และไม่เลือกหน้าไหนทั้งนั้นขอเป็นไม่มีหางก็พอในชาติก่อนๆ อาจจะเคยเกิดเป็น “หมา” และถ้าเป็นเอามากในเรื่องนี้ ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า
อาจจะเป็นหมาหลายชาติติดต่อกันด้วย

-คนที่มีนิสัยเรียบร้อย ชอบทำอะไรเงียบๆ และชอบอยู่กับคนและอาจจะเกลียดหมาด้วยนั้น
ครูบาอาจารย์ท่านว่า อาจจะเคยเป็น” แมว” มาหลายชาติ

-คนที่มีนิสัยสู้งาน ชอบทำงานหนัก ยิ่งแบบใช้กำลังมากๆ ปัญญาน้อยๆ ไม่ชอบคิดมากและไม่บ่น
ครูบาอาจารย์ท่านว่า อาจจะเคยเกิดเป็น “วัว” หรือ “ควาย” มาก่อน ยังคงมีนิสัยอดทน อดกลั้นเหนือคนอื่น

2. แบ่งไปตามลักษณะของ “ศีล”คำว่า “ศีล” แปลว่า ปกติหรือความเป็นปกติ คนที่รักษาศีล 5 ได้อย่างเป็นปกติวิสัยก็คือ
จิตฐานเดิมอาจมีวิสัยความเป็นมนุษยธรรมดา (หรือสูงกว่านั้น) ในภพชาติปัจจุบันจึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์อีกและยังคงรักษาความเป็นปกติวิสัยเดิมของตนไว้ได้ แต่หากมนุษย์คนใดที่ศีลขาดบกพร่องไปมาก ๆ
แม้จะได้ชื่อว่าเกิดมาเป็นมนุษย์ ก็ไม่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นมนุษย์แต่จะเรียกว่าเป็น “คน” ที่แปลว่า ยุ่ง แทน

คนที่มีความประพฤติผิดศีลแต่ละข้อจึงอาจสันนิษฐานถึงจิตเดิมว่าในอดีตชาติอาจเคยเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างอื่นมาก่อนดังต่อไปนี้

1. คนที่มีจิตใจโหดเหี้ยมชอบทำร้ายหรือฆ่าผู้อื่นความเป็นปกติของมนุษย์เรา
เราจะไม่ฆ่ากันไม่ทำร้ายกันต่างจากพวกสัตว์เดรัจฉานอย่างเช่น “เสือ”หรือ “สิงโต” เวลาหิวทีไรก็จะไล่ล่าสัตว์อื่นกินทันที
หากมนุษย์ผู้ใดที่ชอบทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันหรือมีจิตใจที่โหดเหี้ยม
ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติของจิตใจเวลาที่ได้ลงมือทำร้ายหรือสังหารใคร คนผู้นั้นก็มีจิตฐานเดิมไม่ต่างจากสัตว์ที่มีนิสัยดุร้าย
อย่าง เสือ สิงโต หรือสัตว์ที่มีอุปนิสัยดุร้ายชนิดอื่น ๆ

2. คนที่มีนิสัยชอบลักเล็กขโมยน้อย หรือ แม้แต่เป็นหัวขโมยมืออาชีพ
ธรรมชาติของมนุษย์เราจะไม่ลักขโมยทรัพย์สินของใครเพราะ โดยธรรมชาติเราจะมีความรู้
ในเรื่องความเป็นกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของอยู่แล้ว ว่านี่คือของ ๆเขา นี่คือของๆเรา
แต่ถ้าเป็นสัตว์เดรัจฉานมันจะไม่รู้ เช่น เวลาที่ สุนัขเห็นแมวกำลังกินข้าวหรือกินปลาอยู่
มันก็จะตรงเข้าไปแย่งเลยทันที ดังนั้นถ้ามนุษย์ผู้ใดที่ไม่รู้จักประพฤติศีลในข้อนี้
ชอบไปจี้ปล้นทรัพย์สินของคนอื่นก็แสดงว่าจิตฐานเดิมของคน ๆนั้นอาจเคยเป็น “แมว”
หรือแม้แต่สัตว์เลื้อยคลานอย่าง “ตัวเงินตัวทอง”ที่มีลักษณะนิสัยของขโมยของกินของกันและกัน
หรือแม้แต่ของสัตว์ประเภทอื่น ๆ

3. ผู้ที่มีนิสัยมักมากในกามคุณปกติแล้วมนุษย์จะรู้จักควบคุมความต้องการของตนเอง
รู้ว่าการครองคู่แบบใดที่ควรและไม่ควร แต่คนที่มีลักษณะนิสัยชอบผิดศีลข้อที่ 3 คือ มั่วเพศหรือมักมากในกามคุณ ก็จะมีลักษณะนิสัยเดิมที่เป็นไปทางสัตว์เลือดเย็นและสัตว์เลือดอุ่นบางชนิด

กรณีเป็นหญิง ที่มีนิสัยมักมากในกามคุณ ก็จะมีลักษณะนิสัยจิตเดิมมาจาก “ปลา” โดยเฉพาะปลาตะเพียนตัวแม่
ที่เวลาผสมพันธ์เสร็จแล้วก็จะมีนิสัยทอดทิ้งตัวผู้ไปหาตัวผู้ตัวใหม่สมสู่ต่อไปเรื่อย ๆหรือ อย่าง “ปลาหมึก”
ซึ่งตามธรรมชาติของปลาหมึกตัวเมียแล้ว สามารถนอนรอให้หมึกตัวผู้มาสมสู่ได้โดยไม่สนใจคือขอให้เป็นตัวไหนก็ได้ก็พอคนที่มีลักษณะนิสัยเช่นนี้ก็อาจมีจิตฐานเดิมมาจากสัตว์เลือดเย็นเหล่านี้และสัตว์เลือดเย็นอย่างปลาหรือปลาหมึกเวลาผสมพันธ์ก็จะออกลูกเป็น “ไข่” เมื่อออกวางไข่แล้วก็จะปล่อยให้ไข่ฟักไปตามธรรมชาติของมันเองไม่ยอมดูแล

ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจกับคำเปรียบเปรยโบราณกับหญิงที่ทอดทิ้งลูกของตัวเองว่า “ได้ทิ้งไข่เอาไว้ให้คนอื่นเลี้ยง”ว่าเปรียบเทียบลักษณะนิสัยของคน ๆ นั้นได้ตรงกับสัตว์เดรัจฉานอย่างไม่น่าเชื่อ

กรณีที่เป็นชาย คนที่มีนิสัยมักมากในกามคุณ ก็อาจจะมีลักษณะนิสัยจิตเดิมมาจาก “หมู”
เพราะหมูนั้นเป็นสัตว์มักมากในกามคุณมากดังจะเห็นได้ว่า เวลาหมูตัวผู้จะขึ้นขี่หลังนางหมู (คือจะผสมพันธุ์) ทั้งๆ ที่นางหมูกำลังจะกินอาหารและเดินไประยะทางที่ค่อนข้างไกล
เจ้าหมูตัวผู้ก็จะไม่เลิกราสามารถตามไปผสมพันธ์ได้ทั้งที่แม่หมูยังกินอาหารหรือทำอย่างอื่นอยู่

กรณีเรื่องลักษณะนิสัยที่เป็นคนมักมากในกามคุณนี้เราเห็นได้ชัดจากกรณีบุคคลที่มีชื่อเสียงหลายคนในสังคมโดยเฉพาะในต่างประเทศที่เขาหรือเธอเหล่านั้นมีอาการ “ติดเซ็กซ์” จนต้องไปเข้ารับการบำบัดรักษาอย่างจริงจังก็อาจเป็นเพราะมีจิตเดิมมาจากสัตว์เดรัจฉานเหล่านี้หลงเหลืออยู่มากนั่นเอง

และคนที่เป็น” กระเทย” คำว่า กะเทยในที่นี้หมายถึงทั้งทอม ทั้งดี้ ทั้งเกย์คิงและเกย์ควีน
และบรรดาเสือใบ ฯลฯ ทั้งหลาย คนที่เกิดมาเป็นกระเทยในความหมายนี้ในอดีตชาติต้องเคยประพฤติผิดในกาม
มาอย่างไม่ต้องสงสัย และอาจจะทำบ่อยๆ ซ้ำๆ กันจนกรรมไม่ดีนั้นสะสมไว้มาก

เมื่อตายจากชาตินั้น จะมาเกิดใหม่อำนาจฝ่ายกรรมดีนั้นไม่มีกำลังมากพอที่จะให้จิตนั้นมีกำลังที่จะส่งเกิดเป็นหญิงแท้ชายแท้ได้ ต้องกลายมาเป็นคนสองเพศในชาติต่อมา ในทางพระพุทธศานาบอกว่า คนที่มีจิตตกมากๆเพราะทำกรรมไม่ดีในเรื่องของกามมามาก จะไปเกิดเป็นเทวดาชั้นสูงก็ไม่ได้ต้องเป็นชั้นต่ำ
จะไปเกิดเป็นมนุษย์ที่สูงส่งทางจิตใจก็ไม่ได้ เรียกจิตชนิดนี้ว่า “อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก”

เพราะกุศลนำเกิดแต่กุศลนี้มีกำลังอ่อนด้วยมีบาปผิดในกามเป็นบริวาร กุศลคือบุญนำเกิด
แต่เป็นมนุษย์และเทวดาชั้นต่ำจึงชื่อจิตว่า อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก (เป็นกะเทยมาตั้งแต่การเกิด)

สำหรับพวกที่บุญไม่พอจะมาเกิดเป็นคนอาจจะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน กลายเป็นสัตว์กระเทย
ถ้าต่ำไปกว่านั้นอีกก็ไปเป็นเปรตกระเทย จนกว่าบุญจะมากพอเกิดเป็นคนอีกแต่ก็ต้องเป็นกระเทยในภพภูมิชั้นต่ำอีกจนกว่ากรรมนั้นจะยุติลงหรือมีกรรมฝ่ายดีมากพาหนีออกไปได้ระยะหนึ่ง

สำหรับคนที่เกิดมาไม่มีไม่มีอวัยวะเพศหรือมีแต่นิดหน่อยไม่พอที่จะเกิดประโยชน์ได้
อาจจะในอดีตชาติได้เคยไปตอนสัตว์โดยตัดอวัยวะเพศของสัตว์ต่างๆ เขาจะต้องมีอวัยวะเพศพิกลพิการหรือไม่มีอวัยวะเพศ

ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง เล่าให้ฟังถึงเหตุผลที่ว่า ทำไมกระเทยบางคนถึงสวย บางคนถึงดูน่าเกลียด
บางคนทำไมถึงมีนิสัยดี แต่ทำไมกระเทยอีกคนถึงเป็นคนเลวทรามเสียเหลือเกิน
ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า เหตุที่กระเทยบางคนสวย หน้าตาหล่อเหลา

เพราะเขาอยู่ในช่วงชาติสุดท้ายแล้วของกรรมที่จะทำให้เกิดมาเป็นกระเทยอีก และทำกรรมดีไว้มาก
อาจจะเป็นเรื่องของการถวายดอกไม้หอม เครื่องบูชาต่อพระสงฆ์ที่ประณีต ด้วยจิตใจที่สวยงามมั่นคง
และที่กระเทยพวกนี้มีเงิน มีคนนับหน้าถือตามาก เพราะเคยทำทานมาก่อน
และทานนั้นเป็นประโยชน์ต่อคนหมู่มาก จึงทำให้คนนิยมชมชอบรักใคร่

แม้ชาตินี้จีกรรมแต่งให้เกิดมาเป็นกระเทยอีก แต่ก็เป็นกระเทยรูปงาม น้ำใจดี มีเงินทอง เก่งในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง สำหรับความเก่งของกระเทยที่ยอมรับกันมากในเรื่องงานฝีมือ เย็บปักถักร้อยหรือมีพรสวรรค์ด้านสวยๆ งาม ในอดีตชาติต้องเคยเป็นมีความเชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ มาก่อน ซึ่งก็เป็นความทรงจำเดิมติดตัวมา

บางคนเคยเกิดเป็นผู้หญิงที่เก่งการบ้านการเรือนมาก แต่ก็ยังมักมากในกาม กรรมในเรื่องกามแต่งให้มาเกิดเป็นกระเทยเสียแต่กรรมหรือการกระทำที่เก่งในอดีตก็ตามมาด้วย แต่สำหรับคนที่เกิดมาเป็นกระเทยที่รูปทราม ใจทรามในชาตินี้

ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าเป็นแค่การเกิดมารับกรรมในเรื่องนี้เบื้องต้นเท่านั้น เหมือนเพิ่งเริ่มต้นรับกรรมที่ยังอีกยาวไกลและเชื่อว่าอาจจะยังต้องเกิดมาเป็นกระเทยอีกหลายชาติ ทั้งที่เป็นสัตว์กระเทย หรือคนกระเทยอีก ท่านฝากเตือนไว้ด้วยความหวังดีว่า ถ้ายังไม่รีบสร้างกรรมดี ยังประมาทในเรื่องบุญและยังไม่เลิกที่จะทำความผิดในเรื่องของกาม ก็ยังคงต้องรับกรรมไปเกิดเป็นกระเทยอีกหลายชาติ

4. ผู้ที่มีนิสัยทางการพูดในทางไม่ดีไม่ว่าจะเป็น พูดเท็จ พูดคำหยาบ พูดส่อเสียด
หรือพูดเพ้อเจ้อคนที่มีลักษณะนิสัยชอบทำร้ายหรือก่อความเดือดร้อนให้คนอื่นด้วยคำพูด
ก็จะมีลักษณะวิสัยเดิมไปทางสัตว์อย่าง “สุนัข” อย่างเช่นเวลาที่ สุนัขตัวที่อยู่ในบ้านพอมีสุนัขตัวอื่น
หรือคนอื่น ๆผ่านมา มันก็จะเห่าหรือขู่ทันที แต่มนุษย์ปกติเราไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเวลาปกติเราจะไม่ด่าว่า
หรือหลอกลวงใครหากใครที่ชอบใช้คำพูดทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนก็แสดงว่า
ก็ใกล้เคียงกับความเป็นสัตว์เดรัจฉานเช่น สุนัขหรือสัตว์ที่ใช้เสียงทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน

5. ผู้ที่มีนิสัยชอบดื่มสุราเมรัย หรือติดสิ่งเสพติดคนที่มีลักษณะนิสัยชอบมึนเมารักในการดื่ม
และการเสพสิ่งที่ทำให้เพลิดเพลินทางจิตก็จะมีจิตหันเหไปทางสัตว์เดรัจฉานที่มีลักษณะเช่นนี้
อย่างเช่น หมีที่แม้จะเป็นสัตว์ตัวใหญ่แต่ก็ชอบมัวเมากินน้ำผึ้ง หรือ จระเข้ที่มัวเมาเรื่องการกินไม่เลือก
และเดินส่ายไปสัตว์เหล่านั้นจะไม่สามารถบังคับทิศทางได้เพราะไม่มีสติคอยควบคุม

ดังนั้นสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายจึงไม่สามารถที่จะเปลี่ยนกำลังกายของตนเองให้เป็นคุณงามความดีหรือนึกคิดอะไรได้ซึ่งแตกต่างจากมนุษย์

คนชอบกินเหล้าทำให้จิตของตนตกอยู่ในสภาพของโมหะ ความโง่ ความหลง
ขาดความสำนึกรู้สึกตัวและบุญบาปก็มิได้เอาใจใส่แล้วมีโมหะคือ ความโง่ ความหลงเข้าครอบงำ
ไม่เชื่อเรื่องบุญเรื่องบาป ผลของกรรม ตลอดจนการตายการเกิดใหม่

ดังนั้นเวลาใกล้จะตายก็มีโมหะร่วมด้วย ปะปนกับอารมณ์อื่นๆ อารมณ์ที่ดีก็นำเกิดเป็นเทวดาชั้นต่ำ
และเป็นมนุษย์เพราะเขามีบุญมาบ้าง แต่อารมณ์บาปที่เคยกินเหล้าเมายา ก็เป็นบริวารเกิดเมื่อตอนใกล้จะตายด้วย ในชาติต่อมาจึงกลายเป็นคนปัญญาอ่อนแทนที่จะเกิดเป็นเทวดาและมนุษย์ที่สมบูรณ์ กลายเป็นปัญญามากหรือน้อยกลายเป็นคนพิกลพิการทางจิตใจ แต่ถ้าได้เบียดเบียนสัตว์ เช่น ฆ่าสัตว์บ่อยๆ เกิดขึ้นมาแล้วก็จะพิการทั้งร่างกายด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น