วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

วิชา "จิตรู้" ความมหัศจรรย์แห่งจิต



สภาวะของจิตรู้ คือสภาวะของการรับรู้เรื่องราวของสิ่งที่อยู่เหนือโลกคือสภาวะที่อยู่เหนือกว่าการรับรู้เรื่องราวของบุคคลผู้เป็นปุถุชนหรือสามัญชนทั่วไปซึ่งส่วนใหญ่เรามักพบเห็นผู้ที่มีความสามารถพิเศษนี้เฉพาะในกลุ่มพระอริยเจ้าผู้ปฏิบัติธรรม ผู้มีองค์ญาณบารมี ร่างทรง เป็นต้น

แต่สภาวะของการรับรู้ทางจิตอีกวิธีหนึ่งที่ ดร.ณัฐชัย เลิศรัตนพล เรียกว่า วิชาจิตรู้ ซึ่งเป็นสภาวะของบุคคลที่ได้บำเพ็ญบารมีอยู่ในขั้นปรมัตถบารมีมาแล้วและเป็นสภาวะเฉพาะของ "ปรมัตถบารมีบุคคล" ที่พึงได้รับพรหรือการสงเคราะห์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น สภาวะของบุคคลเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อได้บำเพ็ญเพียรบารมีในภพนี้มาได้ระยะหนึ่งเมื่อครบวงรอบที่จะเข้าสู่ความเป็นอริยบุคคลคือ ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปก็จะได้รับพระเมตตาจากพระเบื้องบนให้ได้เรียนรู้วิชาจิตรู้นี้ เมื่อมีสภาวะของจิตรู้เกิดขึ้นความเชื่อความศรัทธาต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ต่อพระธรรม ต่อพระอริยสงฆ์
ย่อมเกิดขึ้นจากหัวจิตหัวใจ ไม่ลังเลสงสัยอีกต่อไป

หลังจากนั้น จึงนำไปสู่พิธีการอธิษฐานจิตขอรวมบุญกุศลทุกๆกองที่เราได้บำเพ็ญเพียรมาตั้งแต่ต้นธาตุ อดีตชาติ จนถึงปัจจุบันชาติมาเป็นหนึ่งเดียวเพื่อเป็นการต่อยอดบุญบารมี เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติให้หลุดพ้นในภพสุดท้ายนี้และขอให้พระเบื้องบนที่ได้เสด็จมาจำนวนมาก ได้โปรดอนุโมทนาในจิตอธิษฐานในครั้งนี้

ต่อมาคือ การยกหนี้สินใดๆไม่ว่าจะเป็นวัตถุทรัพย์สินเงินทองหรือหนี้ชีวิตแก่ลูกหนี้ในอดีตชาติทั้งหมดนับตั้งแต่วินาทีนี้แล้วขอพระเบื้องบนได้โปรดอนุโมทนาบุญในครั้งนี้ด้วยเทอญขั้นตอนต่อมาคือ
การอธิษฐานจิตขอลาพุทธภูมิ(แม้จะรู้ว่าเคยปรารถนาไว้หรือไม่ก็ตาม) ลงมาเหลือแค่ขอปรารถนาเป็นสาวกภูมิเท่านั้นต่อมาจึงขอถอนจิตสัจจะสัญญาใดๆ ที่เป็นฝ่ายมิจฉาทิฏฐิ(อกุศล)ทั้งหมดตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันแม้จะได้ตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม และจะขอยังไว้เฉพาะสัจจะสัญญาใดๆที่เป็นฝ่ายสัมมาทิฏฐิ(กุศล)เท่านั้นหรือจะยังคงไว้เฉพาะพระนิพพานอย่างเดียวก็ได้และข้าพระพุทธเจ้าจะขอชำระหนี้การผิดสัจจะสัญญานี้ด้วยการขอถวายสังฆทานจำนวนแปดกอง (อย่างน้อยกองละ 100 บาท)
เมื่อขอถอนจิตสัจจะสัญญาใดๆแล้ว ก็ขอให้พระเบื้องบนที่เสด็จลงมาจำนวนมากได้โปรดอนุทนาบุญในการอธิษฐานจิตครั้งนี้ด้วย จึงจักเกิดผลทันที

ในวาระต่อมา เป็นการขอรวมบุญกุศลใดๆที่เราได้กระทำแล้วทุกภพทุกชาติมาเพื่ออุทิศถวายแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เจ้า พระอรหันต์เจ้า และครูอาจารย์สืบต่อมาทุกๆพระองค์ เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา หลังจากนั้นจึงอุทิศถวายแด่พรหมเทวดาทั้งหลาย บิดามารดาทุกภพทุกชาติ ญาติพี่น้องทุกภพทุกชาติ ญาติธรรมทุกภพทุกชาติ
ครูอาจารย์ทุกภพทุกชาติ เพื่อขอตัดภพตัดชาติเพื่อเข้าสู่พระนิพพานในภพนี้ นับตั้งแต่วินาทีนี้ และยังขออุทิศบุญให้แก่เจ้ากรรมนายเวร และ..............จนกว่าจะหมดแล้วโน้มจิตถึงพระเบื้องบนที่เสด็จลงมา ได้โปรดอนุทนาบุญของข้าพระพุทธเจ้าในครั้งนี้ด้วยเทอญ

เมื่อกระบวนการข้างต้นเสร็จสิ้น เป็นเสมือนการปลดล็อคสภาวะจิตที่เราผูกมัดหรือผูกพันมาหลายภพหลายชาติ ญาณบารมีดั้งเดิมที่เต็มแล้ว เมื่อถูกปลดล็อคก็ย่อมหลั่งไหลออกมาทันทีซึ่งก็ขึ้นอยู่กับบุญบารมีดั้งเดิมและบุญบารมีใหม่ที่ได้สั่งสมมาในภพชาตินี้เมื่อครบวงรอบของสภาวะธรรมขั้นใดแล้ว ย่อมส่งผลให้บุคคลนั้นบรรลุธรรมในชั้นนั้นทันทีนี่แหละคือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคต้นหลังกึ่งกลางพุทธกาลตั้งแต่ ปี 2500 เป็นต้นมาจึงเรียกว่า "ยุคศรีอารียะ" นั่นเอง

ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า บุคคลที่ได้รับรู้วิชา "จิตรู้" แล้วจะส่งผลต่อการปฏิบัติธรรมเพื่อเลื่อนระดับความเป็นอริยบุคคลจึงเป็นไปแบบก้าวกระโดด (เป็นแบบเหลือเชื่อสำหรับบุคคลทั่วไป) การบรรลุธรรมอาจเป็นไปแบบนาที แบบชั่วโมง แบบวัน ไม่เนิ่นนานอย่างที่เราเข้าใจ แต่จะเกิดขึ้นได้เฉพาะบุคคลขั้น
ปรมัตถบารมีเท่านั้น ผู้ที่รู้ตื่น รู้ตัว รู้ปฏิบัติ ย่อมรู้ทาง(ลัด)ในการตัดเข้าพระนิพพานในขบวนรถไฟใกล้ขบวนสุดท้ายได้ขอให้ท่านลองพิจารณาดูตัวเองเถิดว่า เป็นผู้ที่รู้ตื่น รูตัวแล้วหรือยัง

วิชชา "จิตรู้" เป็นการถ่ายทอดเฉพาะบุคคล
มิสามารถถ่ายทอดออกสู่สาธารณชนได้ ทุกสิ่งจะบังเกิดขึ้นด้วยกาลอันควร บุคคลอันควร สถานที่อันควร
และวาระเงื่อนไขอันควร ที่พระเบื้องบนท่านจะประทานความเมตตาลงมา มิใช่ใครๆก็ทำได้
และผู้ที่กระทำได้ก็มิใช่ผู้วิเศษ แต่เป็นบุคคลธรรมดาที่พ้นสภาวะของความธรรมดา
คือ เป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่ปรารถนาเพื่อเจริญรอยตามเบื้องบาทของพระพุทธองค์
เป็นผู้ที่ปรารถนาพระนิพพาน เป็นผู้ที่ปรารถนาเพื่อสืบต่อพระพุทธศาสนา
และเป็นผู้ที่มีจิตอันเป็นกุศลล้วนๆ หากผู้ใดจะปรารถนาเฉพาะความร่ำรวยหรือแสดงออกถึงกิเลสฝ่ายอกุศลแล้วไซร้ก็มิอาจเข้าถึงวิชชาจิตรู้นี้ได้ ดังนั้น วิชชาจิตรู้นี้ จึงเป็นวิชชาอันเป็นมงคลของผู้ที่เป็นมงคลเท่านั้นและผู้ที่จะสามารถเข้าถึงวิชชานี้ได้ ก็ต้องปฏิบัติภาวนาสมาธิจนเกิดญาณทัศนะได้ในระดับหนึ่งมาแล้วหากผู้ใดปรารถนาจะเข้าถึงวิชชานี้ ก็จงตั้งจิต ตั้งใจ ตั้งปณิธานต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วน้อมนำเอาคำสอนไปประพฤติปฏิบัติ เมื่อถึงเวลาของท่าน ฟ้าก็ปิดไม่อยู่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น