วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

แก้ปัญหาการเงิน,การงานและสร้างความรวยอย่างเร่งด่วนจะทำอย่างไร


วิธีการแก้ปัญหาเรื่องการเงินและการงานที่กำลังเกิดขึ้นที่ต้องการจะบอกกล่าวแนะนำดังต่อไปนี้
เป็นเคล็ดลับทางความเชื่อแต่ได้รับการพิสูจน์มาแล้วจากครูบาอาจารย์ชั้นนำหลายท่านของเมืองไทย
ขอน้อมโมทนาบุญที่จะเกิดนี้แด่ท่านเหล่านั้นรวมถึงคุณผู้อ่านทุกท่านที่มีโอกาสได้อ่าน อย่างไรก็ตามการที่ข้อมูลนี้จะมีประโยชน์ต่อคุณผู้อ่านมากน้อยเพียงใดนั้น ก็อยู่ที่ตัวของคุณผู้อ่านทุกท่าน

ต้องเริ่มปฏิบัติตั้งแต่วันนี้โดยต้องเริ่มจากการหยุดการกระทำบาปหยุดการกระทำที่ไม่ดีทั้งปวงให้หมดสิ้นเสียก่อน ถ้าไม่ปิดทางชั่ว จะไม่มีทางแก้ไขอะไรได้เลย บุญกุศลก็จะเข้ามาช่วยไม่ได้เพราะบาปนั้นปิดทางอยู่

เมื่อปิดทางชั่วแล้ว ขอให้น้อมนำบุญที่เราสร้างทั้งทาน ศีล ภาวนา เป็นการสร้างบุญบารมีใหม่ในชาตินี้
ให้เป็นบุญของตนเองที่จะทำการให้ อภัยทาน แผ่เมตตา อุทิศส่วนบุญกุศลและเชื่อมส่งบุญให้ถึงกัน
เพราะถ้าเราไม่มีบุญเป็นของตนเองก็คงไม่อาจนำบุญที่ไหนไปเชื่อมและส่งต่อให้กับผู้อื่นได้

1. สร้างอาชีพที่มั่นคงและไม่บาปในที่นี้อยากจะขอให้แยกระหว่างสองคำนี้ออกจากกันคือ
อาชีพที่มั่นคงอย่างหนึ่ง และอาชีพที่ไม่บาปอีกอย่างหนึ่ง คำว่าอาชีพที่มั่นคงนั้นมีความหมายว่า
เป็นอาชีพใดๆก็ได้ที่ทำแล้วสามารถมีรายได้มาหล่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้อย่างต่อเนื่อง
โดยที่แม้ว่าจะหยุดทำงานนั้นหรือพักงานนั้นไปบ้างก็ยังคงมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่องไม่หยุด
นี่คือความหมายของคำว่ามั่นคงในทางทรัพย์สิน ซึ่งในแง่ของความมั่นคงในด้านของรายได้นี้
เป็นเพียง “ส่วนหนึ่ง” ที่พึงปฏิบัติเท่านั้น และที่สำคัญไม่มีใครสามารถหยุดทำงานไปเลยได้อย่างแท้จริง
เพราะทุกคนต้องมีงานทำ เพื่อให้ชีวิตมีคุณค่าและมีชีวิตชีวา

แต่ ประเด็นสำคัญที่มากกว่าความมั่นคงก็คือ อาชีพนั้นต้อง “ไม่บาป” ซึ่งถือเป็นความมั่นคงและร่ำรวยอย่างแท้จริง ที่จะทำให้เป็นสุขไปได้อย่างยาวนาน ไม่บาปในที่นี้หมายความว่าไม่ใช่แค่สุจริตเฉยๆ
แต่ควรเป็นไปเพื่อประโยชน์ทั้งส่วนตนและส่วนรวม

โดยทุกอาชีพนั้นการประกอบอาชีพใด ๆต้องมีจรรณยาบรรณ คือมีศีลอยู่ในการควบคุมอาชีพนั้นอยู่แล้ว
เพื่อไม่ให้ไปสร้างความเดือดร้อนแก่สังคม เพราะแม้ว่าบางคนจะมีอาชีพเป็นถึงนายแพทย์ที่รับเงินเดือนสูง ๆ แต่กลับใช้วิชาชีพเพื่อก่อความร่ำรวยในทางที่ผิดเช่นเป็น สูตินารีแพทย์ดูแลผู้ป่วยหญิงในโรงพยาบาลตอนเช้า ตกเย็นมาเปิดคลินิกรับทำแท้งแบบถูกกฎหมายก็ไม่เรียกว่า การสร้างอาชีพที่มั่นคงและไม่บาป อย่างนี้เป็นต้น

“สัมมาอาชีวะ” ในความหมายของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่แค่อาชีพนั้นสุจริตแต่ในอาชีพนั้น ยังสามารถทำให้เราพัฒนาจิตได้ด้วย เช่น ถ้าเราทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วทำให้เราลด ละ ความเห็นแก่ตัว
ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น มีน้ำใจกับเพื่อนร่วมงาน ถึงแม้คุณเหนื่อย ไม่ได้รับการยอมรับ ไม่ได้รับการยกย่อง
แต่เราก็ยังทำ เพราะมันเป็นสิ่งที่ดี ผลประโยชน์ไม่ได้เกิดขึ้นจากแค่งานที่ทำแต่กลายเป็นการละกิเลสออกจากใจได้ด้วย ถ้าเราสามารถทำงานอย่างมีสติการทำงานสร้างเงินก็ถือเป็นการปฏิบัติธรรมไม่ว่าจะเป็นงานที่ใช้แรงกาย หรือแรงสมองก็สามารถพัฒนาจิตได้ทั้งนั้นคือสามารถ พัฒนาให้มีเมตตา กรุณา มีสมาธิ ลด ละความเห็นแก่ตัว ส่วนการพัฒนาปัญญาก็คือ เราใช้การทำงานเป็นโอกาสในการเข้าใจชีวิต เรื่องของการงาน มีทั้งความสำเร็จ ความล้มเหลว ทั้งลาภยศ สรรเสริญ และการเสื่อมลาภ เสื่อมยศ เราจะเข้าใจว่าวิถีแห่งโลกมันเป็นอย่างนี้เอง ต้องปล่อยวางให้ได้ ไม่ยึดติด ถือมั่นกับสิ่งใด

สิ่งสำคัญในการยึดถือปฏิบัติในทุกอาชีพก็คือ ใช้หลักอิทธิบาท 4 ในการทำงานทุกอย่าง แม้ว่างานนั้น
จะไม่ใช่งานที่เราชอบก็ตาม เพราะ หากเราไม่สามารถทำในสิ่งที่ตัวเองรักได้ก็ควรเรียนรู้ที่จะรักในสิ่งที่ทำงานที่เราไม่ชอบ เพราะมันไม่ตรงกับความคาดหวังของเราซึ่งคนส่วนใหญ่เสียเวลาไปกับการตำหนิติเตียน น้อยอกน้อยใจหรือแม้แต่การตีโพยตีพายบ่นเรื่องเจ้านาย เรื่องเงินเดือน บ่นเรื่องเนื้องาน ฯลฯ

ขอให้เราลองวางมันลงลองปรับใจเสียใหม่ว่า ไม่ว่าจะเป็นงานประเภทไหน ให้ทำอย่างเต็มที่ ด้วยความตั้งใจ การทำงานจะมีความสุขมากกว่าเดิม ส่วนใหญ่ที่เราบ่นเรื่องงานด้วยความไม่ชอบใจ เพราะเรามีมาตรฐานบางอย่าง ในตนแล้วผลของเนื้องานหรือผลตอบแทนมันไม่เป็นไปตามนั้น เราควรเอาใจใส่กับงานที่ทำอยู่เฉพาะหน้า อยู่ตลอดเวลานอกจากทำให้งานดีขึ้นแล้วจะยังลดความไม่ชอบใจในงานนั้นได้อีกมากด้วย เรียกว่าหากต้องเจองานที่ไม่ถนัดหรือไม่ชอบก็ให้ยอมรับ แต่ไม่ใช่ยอมจำนน จึงจะเจริญก้าวหน้า

เราควรตั้งคำถามเรื่องงานอยู่เสมอว่าเราทำงานเพื่ออะไรอะไรคือคุณค่าสูงสุดของงาน ถ้าคำตอบคือการทำได้ประโยชน์สูงสุดให้กับเพื่อนมนุษย์แล้วเราปรารถนาที่จะทำอย่างเต็มที่ ให้ความเป็นตัวตนได้แสดงออกมาอย่างงดงามได้อย่างทรงพลังเรื่องเงินหรือรายได้ที่จะตามก็จะกลายเป็นเรื่องรองไปทันที
และสามารถสร้างอาชีพที่มีความสุขคือ มั่นคงและไม่บาปได้อย่างแน่นอน

2. ค้นหาอาชีพที่จะทำให้เรารวยได้อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ไม่ใช่แค่อาชีพสุจริตแต่อาชีพที่เราทำ
ต้องทั้งสุจริตและมีความฉลาดในการหาเงินด้วยเหมือนการขุดถนน ที่ถ้าใช้จอบเสียมก็ใช้เวลานานกว่าจะสำเร็จ แต่ถ้าใช้รถแบ็คโฮ มาช่วยขุดผลสำเร็จก็จะเกิดเร็วขึ้นมากกว่า ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันมากมายว่า
อาชีพที่จะทำให้คนเราประสบความสำเร็จและร่ำรวยได้นั้น คือการเป็น “เจ้าของธุรกิจ” หรือ เป็น “นักลงทุน” ตามหลักการพิสูจน์ที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลกเรื่องของเงินสี่ด้าน เพราะคนที่เป็นเจ้าของธุรกิจหรือนักลงทุนนั้น แม้จะหยุดทำงานแต่เขาก็สามารถมีรายได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้จะลางานไปเป็นปี ๆ
เมื่อกลับมาทำงานต่อรายได้ก็ยังเกิดขึ้นเสมอ

แต่เพราะโลกแห่งความเป็นจริงคนเรายังไม่อาจจะเป็นเจ้าของธุรกิจหรือนักลงทุนกันได้ทุกคน 
แต่อย่างไรก็ตามทุกคนควร “ริเริ่ม” แนวคิดของการเป็นเจ้าของธุรกิจด้วยตนเองอยู่ตลอดเวลา แม้ในขณะนี้เราจะยังเป็นลูกจ้างประจำ,ข้าราชการ หรือ ผู้บริหารระดับสูงที่แม้เงินเดือนจะมากก็ควรคำนึงถึงเรื่องนี้ไว้เสมอ

การจะเริ่มต้นทำธุรกิจใด ๆเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ธุรกิจนั้นจะทำให้เราประสบความสำเร็จนั้น ขอให้พิจารณาประเด็นหลักแรกที่สุดคือ “ธุรกิจนั้นต้องเป็นธุรกิจที่ก่อประโยชน์ ให้กับผู้คนจำนวนมากและมีความหลากหลายให้มากที่สุด”

หากเราพิจารณาดูให้ดีจะเห็นว่า มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองไทยอย่าง เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์
ท่านได้เป็นมหาเศรษฐีร่ำรวยมหาศาลเช่นนั้นก็เพราะมีผู้ที่ได้ประโยชน์เป็นการสาธารณะมากคือ
การเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคและบริโภคที่ใช้ในชีวิตประจำวันที่ทุกคนต้องซื้อกินซื้อใช้ ท่านจึงร่ำรวยและประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล ดังนั้นการจะมองว่าธุรกิจหรืออาชีพใดที่จะทำให้เรารวยได้ ธุรกิจนั้นก็ควรเป็นประโยชน์แก่คนหมู่มากเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่มองว่าจะได้กำไรมากเป็นที่ตั้งเพราะการเน้นได้เงิน ได้กำไรมากเป็นความร่ำรวยแค่ฉาบฉวยไม่อาจจะสร้างความยั่งยืนได้

ข้อพิจารณาที่สองก็คือ ธุรกิจหรืองานที่เราจะลงไปทำนั้น เรามีความรู้ความถนัดและคุณสมบัติมากแค่ไหน โดยมีหลักพิจารณาตามแนวพระพุทธองค์ว่า พ่อค้าที่จะประสบความล้มเหลวและประสบความสำเร็จนั้นให้พิจารณาคุณสมบัติดังต่อไปนี้

พ่อค้าหรือเจ้าของธุรกิจที่ล้มเหลวในอาชีพ คือไม่สามารถทำโภคทรัพย์ที่ยังไม่มีให้มีขึ้น
และที่มีอยู่แล้วก็ไม่สามารถทำให้เจริญงอกเงยเป็นทวีคูณ แปลความว่า ยิ่งทำยิ่งขาดทุน ก็จะมีลักษณะความประพฤติ ไม่ว่าเวลาใด เช้า เที่ยง หรือเย็น ก็จะไม่จัดแจงการงานให้เอื้อเฟื้อเป็นประโยชน์ ก็คือมัวแต่เกียจคร้าน ไม่เอาใจใส่ในอาชีพของตน ไม่อุทิศกายวาจาใจให้งาน ไม่มีวิญญาณความเป็นเถ้าแก่
คนที่เป็นเจ้าของกิจการกลับมีวิญญาณเหมือนคนเป็นลูกจ้าง คือทำไปตามหน้าที่ สิ้นเดือนรับค่าจ้างตายตัว ถ้าเจ้าของกิจการทำตัวเหมือนลูกจ้างก็จะไม่มีวันประสบความสำเร็จ

พ่อค้าหรือเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ คนที่สามารถประกอบกิจการการค้าได้ประสบความสำเร็จ
ขายของได้กำไรเป็นทวีตรีคูณ จะมีลักษณะการทำงานดังต่อไปนี้

1. มีตาดี (จักขุมา) คือ มีสายตาอันยาวไกล รู้จักสินค้า ดูของเป็น คำนวณต้นทุนเก็งกำไรได้อย่างแม่นยำ
และสามารถมองไกลไปถึงอนาคตด้วยว่า อนาคตความเป็นไปทางการค้าและธุรกิจจะมีทิศทางไปทางไหนและสามารถปรับตัวได้ทันท่วงที

2. มีความจัดเจนในธุรกิจ ( วิธุโร) คือ มีหัวการค้า รู้แหล่งซื้อแหล่งขาย รู้ความเคลื่อนไหวของตลาด
สามารถในการจัดซื้อจัดจำหน่าย คือซื้อของถูกที่สุดและคุณภาพดีได้มากที่สุด
และสามารถขายออกไปในคราวละมาก ๆราคาเหมาะสม นอกจากนั้นยังรู้จักสงเคราะห์คนที่อยู่รอบข้างรวมไปถึง ญาติและมิตรสหายด้วย

3. มีแหล่งเงินทุนที่พร้อมและพึ่งพาได้ (นิสสะยะสัมปันโน) คือ มีความรู้จักคนมาก กว้างขวางในวงการ
หาทางสนิทสนมกับคนที่มีอำนาจและมีฐานการเงินที่มั่นคงด้วยวิถีทางที่ฉลาดและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

แต่ถ้าหากได้กระทำการครบทุกอย่างตามนี้แล้วยังประสบปัญหาต่าง ๆไม่หยุดหย่อนก็แสดงว่า
บุญของเรายังไม่มากพอที่จะรับหน้าที่ความรับผิดชอบนี้ เปรียบเหมือน งานนั้นมันเกินบุญของเรา
บุญของเราไม่พอที่จะรองรับงานนี้ เหมือนคำเปรียบเปรยที่ว่า “วาสนาไม่ถึง” เพราะเมื่อดำเนินกิจการใด ๆไปแล้ว ทั้ง ๆที่เมื่อก่อนธุรกิจขนาดยังมีแค่เล็ก ๆก็บริหารไปได้ดี แต่พอมีการขยายกิจการมากขึ้น
กลับมีแต่ปัญหาใหญ่ให้ตามแก้ไม่รู้จบจนขาดทุนแสดงว่า บุญเรายังไม่ถึงพอต้องเร่งสร้างบุญบารมีเพิ่ม
ด้วยวิธีการที่กล่าวมาทั้งหมด คือหลักแห่ง ทาน ศีล ภาวนาโดยเร่งด่วน ให้บุญมากพอจะรองรับได้

3.ต้องมีกัลยาณมิตร หรือคนคอยสนับสนุนที่ดีคนเรานั้นเรียกได้ว่า ไม่มีใครสามารถยิ่งใหญ่
หรือเติบโตมาได้เจริญรุ่งเรืองได้เพียงเพราะลำพังตนเองคนเดียว เหมือนน้ำทุกหยดต้องมีต้นน้ำ
ผู้ที่ประสบความสำเร็จร่ำรวยทุกคนย่อมมีผู้คอยช่วยเหลือสนับสนุน คือมีทั้งพ่อแม่ ครูบาอาจารย์
และมิตรสหายที่จะคอยสนับสนุนส่งเสริมให้ประสบความสำเร็จทั้งสิ้น

การค้นหาบุคคลเพื่อขอความช่วยเหลือนั้นทำอย่างไร ?การจะค้นหากัลยาณมิตรที่ดีเช่นนี้เราจะค้นหาพบปะได้อย่างไร อย่างแรกอยู่ที่บุญเก่าและกรรมของเราจะนำพาไป ซึ่งหากยังไม่พบก็ต้องเร่งสร้างบุญใหม่ทำกรรมใหม่ให้ดีอยู่เสมอ ซึ่งขอให้ระลึกไว้เสมอว่า กัลยาณมิตรที่ดีจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นอบายมุขหรือเข้าไปอยู่ในสถานที่ “อโคจร” พาให้เสื่อมโดยเด็ดขาด เพราะไม่ใช่ที่ๆคนดีและคนเจริญเขาอยู่

เคล็ดลับในการจะพบเจอกัลยาณมิตรที่ดีนั้น ขอให้สร้างบุญด้วย ทาน ศีลและภาวนาให้มากแล้วทำ “การอธิษฐานพึ่งบุญ” เข้ามาช่วย เพื่อให้มีตัวกลางซึ่งเป็นผู้ที่มีบุญบารมีที่มากพอเข้ามาช่วยเหลือเราโดยเมื่อทำบุญแล้ว ก็อธิษฐานบุญอุทิศเชื่อมบุญไปให้คนที่เราต้องการไปขอความช่วยเหลือ โดยทำการเอ่ยชื่อท่านผู้นั้นหรือบุคคล นั้น รวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่เราให้การเคารพนับถืออยู่เพื่อช่วยเสริมพลังช่วยอีกแรงหนึ่ง

ตัวอย่างคำอธิษฐานพึ่งบุญ (อย่างย่อ)“ข้าพเจ้า...(เอ่ยชื่อ ).....ขอถวายเครื่องไทยทานอันประกอบด้วย
พระพุทธรูป ผ้าไตรจีวร อัฐบริขาร น้ำดื่ม ยารักษาโรค กับทั้งของบริวารทั้งหลาย เพื่อน้อมถวายเป็นพระสังฆทาน น้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา อริยสังฆบูชา และขอน้อมอานิสงส์ผลบุญทั้งหลายทั้งปวงนี้

อุทิศให้แก่เทพเทวดาที่รักษาตัวของข้าพเจ้า อุทิศให้แก่เทพเทวดาอารักษ์ พระภูมิเจ้าที่ เจ้าที่เจ้าทาง
ที่สถิตอยู่ในอาณาเขตพื้นที่พักอาศัย และสถานที่ประกอบวิชาชีพการงานของข้าพเจ้า คือ (...เอ่ยที่อยู่ หรือที่ทำงาน....) และอุทิศให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวงที่กำลังจะมาถึงตัวข้าพเจ้า

อุทิศให้แก่..... (เอ่ยชื่อ ผู้ที่เราต้องการไปขอพึ่งบารมี หรือขอความช่วยเหลือ)...พร้อมทั้งระบุตำแหน่งหน้าที่การงานของเขา และอุทิศให้เทพเทวดาที่รักษาตัวของท่านผู้นั้น อุทิศให้แก่เทวดาอารักษ์ พระภูมิเจ้าที่ เจ้าที่เจ้าทาง ที่สถิตอยู่ในอาณาเขตพื้นที่พักอาศัย และสถานที่ประกอบวิชาชีพการงานของท่านผู้นั้น...(เอ่ยที่อยู่ของท่าน)... และอุทิศให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวงที่กำลังจะมาถึงตัวท่านผู้นั้น

ขออานิสงส์ผลบุญทั้งหลายทั้งปวงนี้เมื่อโมทนาพระคุณความดีในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเทพเทวดาทั้งหลายเหล่านั้น ทุกพระองค์ ทุกท่าน บิดามารดาครูบาอาจารย์ และบุคคลทั้งหลายที่มีอุปการคุณต่อข้าพเจ้าทุกท่าน ขอเมตตาบารมีของทุกพระองค์ทุกท่านได้โปรดแผ่เมตตาบารมีให้ข้าพเจ้า ...(เอ่ยชื่อตนเอง)...
ได้สำเร็จความปรารถนาในหน้าที่การงานที่ปรารถนาอยู่ในขณะนี้ด้วยเทอญ”
โมทนาสาธุ โมทนาสาธุ โมทนาสาธุ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น